วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สิ่งต้องใจ ๒

ต่อจากความเดิมตอนที่แล้ว ผู้เขียนยังประทับใจบทสนทนาอันเป็นคำสอนที่ต้องใจ จึงขอนำมาเผยแพร่ให้ผู้อ่านได้อ่านกัน

ฉากนี้คือฉากที่ฮันซังกุง พูดสอนแก่จังกึม หลังจากที่กลับจากการไปรับใช้ซังกุงคนสนิทของพระมเหสีตอนบั้นปลายชีวิต เพราะเกิดเหตุการณ์ที่ฮันซังกุงแพ้การแข่งรอบแรกเพื่อชิงตำแหน่งซังกุงสูงสุด เนื่องจากจังกึมคิดเอาง่ายโดยการใช้นมอูฐมาต้ม แทนการใช้ความจริงใจ จนกลายเป็นผิดจุดประสงค์ของโจทย์การแข่งขัน

ฮันซังกุงพูดสอนจังกึมว่า

我怎么不知道妳的品行呢。但是,一个人开始有所改变会跟着环境不知不觉就变了,尤其是遇到紧急情况,就不会计较这么做到底是对还是错了,因为每个人都会一心急着解决眼前的问题。
ข้าจะไม่รู้นิสัยเจ้าได้ยังไง แต่ว่าคนเราอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ค่อยๆเปลี่ยนตามสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะถึงยามคับขัน เราจะไม่คิดว่าสิ่งที่ทำไปถูกหรือผิด ทุกคนมักห่วงแต่แก้จะปัญหาเฉพาะหน้าก่อน
可是这么一来,路子就会越走越偏。再继续走下去就会找不到方向,迷失了原本想要走的路,只看到眼前的问题跟困难。
ซึ่งการทำอย่างนั้นหนทางจะยิ่งตีบตันมากขึ้น ถ้ายังเดินต่อไป เราจะหาทางออกไม่เจอ หรือแม้แต่ออกนอกลู่นอกทางไปไกลเข้าใจไหม


น่าคิด..

หมายเหตุ ภาษาไทยที่กำกับนั้นนำมาจากการถอดคำพูดของเสียงพากษ์ ซึ่งมีการแปลตกหล่นอยู่บ้าง

สิ่งต้องใจ

วันนี้ผู้เขียนได้กลับไปดูหนังเกาหลีที่เป็นตำนานอย่างแดจังกึม
มีสิ่งที่ตัวละคอนในนี้พูดแล้วข้าพเจ้ารู้สึกกระทบ จึงอยากนำมาแบ่งปัน ซึ่งเป็นบทสนทนาดีๆที่ตัดมา

บทสนทนาตอนนี้เป็นตอนที่ฮันซังกุงคุยกับจังกึม หลังที่เห็นจังกึมแก้ปัญหาอาหารเน่าเสียด้วยการใช้น้ำสุกล้างชาม

เมื่อจังกึมน้ำน้ำอุ่นเหยาะเกลือให้นายหญิงดื่ม..

妳娘拿水给妳喝的时候,也会问这些事情吗
ทุกครั้งที่แม่เอาน้ำให้เจ้าดื่ม จะมีคำถามอย่างงี้เสมอเลยหรือไง

是,娘会问我,下腹是不是受了寒,喉咙会不会痛。
เจ้าค่ะ ท่านแม่ชอบถามว่า รู้สึกปวดท้องรึเปล่า เจ็บคอบ้างไหม
仔细问清楚之后,有时候拿凉水给我;有时拿热水给我;有时候也会拿糖水给我喝
บางครั้งให้ดื่มน้ำเย็น บางครั้งก็ให้ดื่มน้ำอุ่น แล้วบางครั้งจะให้ดื่มเป็นน้ำหวานเจ้าค่ะ

是啊,就是要仔细地问清楚。这就是我要妳倒水给我喝的用意。
ถูกแล้วหละ ต้องถามให้รู้อาการก่อน และนี่คือจุดประสงค์ที่ให้เจ้าไปตักน้ำมา
在煮食物之前,要先清楚吃的人身体状况跟喜好,还有能不能接受。把状况弄清楚想清楚之后再煮,这就是我说的煮食物人应该有的心情
ก่อนจะปรุงอาหาร เราจะต้องถามสุขภาพและความชอบของคนกินซะก่อน ว่ารับอะไรได้บ้าง รู้รายละเอียดแล้วจะได้ปรุงถูก นี่คือหลักสำคัญของคนปรุงอาหารทุกคน รู้ไหมจ๊ะ
不过透过妳娘,你早就清楚这些道理了。妳娘真是一位了不起的人物
แต่ว่า เจ้าเคยอยู่กับแม่ คงรู้เรื่องพวกนี้หมดแล้วแม่เจ้าเป็นผู้หญิงที่หายากจริงๆ
 妳娘清楚地知道,水装在碗里面也是一碗食物这个道理,在水也是一种食物的前提下,对要喝下水的人诚心礼遇,食物就是对待人的情谊,她也非常地明了。
นางเข้าใจดีว่า น้ำเปล่าหนึ่งชามก็ไม่กับจากอาหารหนึ่งชาม ก่อนจะบริการด้วยน้ำดื่ม ควรรู้สุขนิสัยของคนๆนั้นด้วย อาหารจึงจะเหมือนไมตรีที่เรามอบให้ ซึ่งนางเข้าใจดี


เช่นนี้แล้ว ผู้เขียนเห็นว่า เหล่านี้เป็นสิ่งที่คนทำอาหารควรจะยึดหลัก ดังปรากฎในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดเรื่อง เช่น ชองซังกุงไม่ยอมให้สิ่งสกปรกมาเกี่ยวข้องกับอาหาร ฮันซังกุงและจังกึมไม่ยอมตั้งอาหารที่ถูกปากแต่เป็นโทษแก่ท่านทูต เป็นต้น
เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันคนยังคิดเช่นนี้อยู่หรือไม่ อย่างเช่นในจีน ยังมีการทำนมผมผสมเมลามีน ทำสาหร่ายพลาสติก เป็นต้น สังคมมนุษย์กำลังถอยหลังหรือไม่ ความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณและคุณธรรมของมนุษย์ยังเหลือหรือไม่ หรือสิ่งเหล่านี้จะแปรผันตรงกับความเจริญทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ทุกคนมักมุ่งอยู่กับการพัฒนาเศรฐกิจ ความเจริญทางด้านเทคโนโลยี จนลืมคุณธรรมครรลองบางอย่างไปหรือเปล่า

เรื่องนี้น่าคิดยิ่งนัก

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

后宫

The imperial harem
When I first heard of the word “The imperial harem”, it reflects 2 dimension of its meaning:
Harlem. It is at the exact right word, when I look it up in dictionary to make sure. Here is the definition from longman dictionary.

1.the group of wives or women who lived with a rich or powerful man in some Muslim societies in the past
2. part of a Muslim house that is separate from the rest of the house, where only women live

Furthermore, I got another definition from the Wikipedia, I think it’s accurate for the translation of the word “后宫
Here is a definition: the sphere of women in what is usually a polygynous household and their enclosed quarters which are forbidden to men.

Actually, I started searching for the definition of the translation when it is doubtful that is it an accurate word of the word Hougong in Chinese or not. That’s because I heard the word “Harem” I think of a place where is a sphere of women who serve the man, maybe just one or more. And do nothing but serve the man, and being seductive.

Thus, I came to the second dimension that is not relevant to what Chinese imperial’s Hougong has done in its history. the Hougong is not just a place of women for the purpose of sexual satisfaction or something like that, but there is something more than that. In the past, woman’s world and man’s world were strictly separated. The function of those strict separation is to devide the work into to parts: outside for man, and inside for women. So when the word “outside” and “inside” is used, it shows the implication of Chinese concept of “center”: house is the center of life.

If so, the Hougong is not a place with purpose of sexual serving, but is for everything for the man—the emperor. It means the Hougong is a place of “house” for the emperor, apart from another part of imperial palace which is an work place. So the Hougong includes or takes responsibility of cooking, cleaning, serving and so on to support a well-being of the emperor. And when there are much of responsibilities, it got a system – a very big system—to control and administer this important part of the life. Well, I think the Hougong is not a harem. it is a home!

三宫六院



เมื่อดูหนังบ่อยๆ ผู้เขียนมักได้ยินคำว่า “三宫六院” ที่เดาด้วยบริบทแล้ว น่าจะหมายถึง ฝ่ายใน นั่นเอง ซึ่งเข้าใจว่า นำจำนวนตำหนักต่างๆมาเป็นตัวแทนของฝ่ายใน

ด้วยเหตุนี้จึงไปเปิดค้นในหนังสือ 词的文化源考 เขียนโดย 王垂基 ซึ่งมีคำตอบให้
ผู้เขียนจึงนำมาแปลอย่างเท่าที่แปลได้ให้ผู้อ่านได้อ่านกัน ดังนี้


ผู้คนมักจะใช้ “三宫六院” มาบรรยายคุณลักษณะของผู้ที่มีอำนาจบารมีทรัพย์สินมาก มิมีใครเปรียบ วลีนี้มีที่มาจากไหนกันแน่
เดิมที คำนี้รากมาจากราชวังต้องห้าม ในวังหลวงนี้ มีประตูเฉียนชิงเป็นเขตขอบ ทิศใต้เป็นที่ว่าราชการ ทิศเหนือเป็นพระตำหนักชั้นใน อันเป็นที่ประทับของพระมเหสีและเหล่าสนมกำนัล คำว่า “三宫” นั้นหมายถึง 乾清宫 交泰宫และ 坤宁宫 ทั้งหมดนี้สามารถเรียกอีกอย่างได้ว่า “后三宫”ส่วนคำว่า “六院”ประกอบไปด้วย ตำหนักทางทางเดินตะวันออก ๖ ตำหนัก อันได้แก่ 斋宫 景仁宫 承乾宫 钟粹宫 景阳宫 และ永和宫 และตำหนักทางเดินตะวันตก อันได้แก่ 储秀宫 翊坤宫 永寿宫 长春宫 咸福宫และ 重华宫 เนื่องจากตำหนักเหล่านี้มีการก่อสร้างเป็นรูปแบบ 庭院จึงเรียกว่า “六院”ที่มาของคำว่า “三宫六院”ก็ด้วยเหตุประการฉะนี้

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บางทีก็ว่าซูสีไทเฮาไม่ได้ เพราะว่าผิด




ผู้เขียนดูละคอนจีนเรื่องหนึ่งชื่อว่า 苍穹之昴 เป็นเรื่องเกียวกับพระพันปีหลวงซูสีไทเฮา
ในละคอนนั้นทุกคนเรียกพระนางว่า "老佛爷” สำหรับผู้เขียนนั้น มีความรู้แค่หางอึ่งยิ่งนัก เพราะเพิ่งจะได้ยินคำเรียกขานนี้เป็นครั้งแรก

แต่ก่อนเคยได้ยินผู้คนประนามว่า พระนางตั้งพระองค์เองเป็นพุทธะ(佛)ซึ่งผู้กล่าวหากล่าวในลักษณะที่ว่า พระนาง กระทำไม่บังควรที่เปรียบตนสู่พุทธะ

ด้วยคู่มือดีๆที่ผู้เขียนมีอยู่ในมือคือหนังสือ 词的文化源考 เขียนโดย 王垂基 (รศ.) เลยสืบค้นแล้ว
จึงขออนุญาตนำเนื้อหามาแปล
เนื้อหาที่แปลมีดังต่อไปนี้

ในบรรดาภาพยนตร์ต่างๆที่สะท้อนสภาพชีวิตในพระบรมหาราชวังยุคสมัยราชวงศ์ชิงนั้น ผู้ชมจะยินเรียกพระพันปีหลวงซูสีไทเฮาว่า "老佛爷“ แท้ที่จริงแล้ว คำเรียกคำนี้ไม่ใช่คำที่พระนางใช้โดยเฉพาะแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่พระจักรพรรดิ์องค์ก่อนๆก็ล้วนมีคำเรียกเฉพาะคำนี้ เป็นต้นว่า พระจักรพรรดิ์คังซี หย่งเจิ้ง ก็ล้วนใช้คำว่า “老佛爷” ทั้งนั้น

สำหรับพระจักรพรรดิ์ในประวัติศาสตร์นั้น นอกจากพระราชสมัญานาม พระอารามนาม และพระนามแห่งพระจักรพรรดิ์ในพระบรมโกศที่มีการเรียกเป็นของพระองค์แล้ว ยังมีพระจักรพรรดิ์บางพระองค์ที่มีชื่อเรียกขานเฉพาะ เช่น ชื่อเรียกเฉพาะในพระจักรพรรดิ์ในราชวงศ์ซ่งเรียกว่า "管家“ ราชวงศ์หมิงเรียกว่า “老爷”เป็นต้น

กระนั้นแล้ว เพราะเหตุอันใด พระจักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์ิชิงจึงมีชื่อเรียกเฉพาะว่า "老佛爷“ กันเล่า สาเหตุคือชื่อหัวหน้าชนเผ่าหนู่ว์เจินเดิมทีเรียกว่า "满柱“ ซึ่งเป็นการถ่ายเสียงของธรรมฉายาว่า “曼珠” ซึ่งให้ความหมาย “佛爷” และ “吉祥”ด้วยเหตุนี้ การสืบทอดหัวหน้าเผ่าหนู่ว์เจินก็สืบทอดชื่อดังกล่าวด้วย ฉะนั้นแล้ว เมื่อราชวงศ์ชิงสถาปนาขึ้น จึงนำคำ "满柱"  มาถอดความหมายสู่ภาษาฮั่นว่า " 佛爷“นั่นเอง กลายเป็นชื่อเรียกขานเฉพาะของพระจักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์ชิงสืบมา การที่พระนางซูสีไทเฮาให้ผู้คนเรียกพระนางว่า "老佛爷“ นั้นย่อมมีจุดประสงค์เฉพาะ นั่นก็คือ พระนางประสงค์ให้เปรียบพระองค์เองเป็นจักรพรรดิ์นั่นเอง

แปลว่า..ถ้าจะว่าพระนาง ไม่ควรว่าว่าเปรียบตนเป็นพุทธะ แต่ต้องว่าว่า เปรียบตนเป็นจักรพรรดิ์ จึงจะเป็นการตำหนิที่ถูกต้อง


วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

子曰:“三人行,必有我师焉。”
ว่าไปแล้วพจน์ของขงจื้อประโยคนี้ตีความหมายได้มากมาย
เท่าที่ได้ยินอาจารย์บรรยายอย่างรวดเร็ว ขอยกประเด็นประโยคข้างต้นมาเอ่ยดังนี้
๑. 三
๒. 行
จริงๆจะแปลอย่างง่ายๆก็คือ ในบรรดาสามคนที่เดินมา ต้องมีครูแห่งเรา
แต่ต้องเป็นสามคนเหรอ งั้นถ้าหากเป็นหก ครูจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หรือไม่
จริงๆแล้ว "สาม" ไม่ได้แปลว่า "สาม"
สามในที่นี้หมายรวมถึงจำนวนหนึ่งๆ

อย่างในภาษาไทยก็ใช้กัน เช่น
"เนียะ เราชอบผู้หญิงที่ทำทรงผมให้เผยเห็นคน สวยดี อะ สมมติว่ามีหญิงสามคนเดินมาเนียะ คนไหนผมสั้น จองไว้ก่อนเลย" การสมมติว่าเป็น "สาม" ไม่ได้แปลว่า ต้องมี คนที่หนึ่ง คนที่สอง และคนที่สาม แต่หมายถึง จำนวนหนึ่งๆนั่นเอง

คำต่อมาคือคำว่า "เดิน" ก็เช่นกัน อาจจะไม่ได้แปลว่าเดิน 步行 行走ก็ได้แต่ แต่หมายรวมความหมายกว้างๆว่า 行动 ก็เป็นได้
ดังตัวอย่างที่ยกในภาษาไทย "หญิงสามคนเดินมา" ไม่ได้แปลว่าต้องเดิน แต่หมายถึงการสมมติเท่านั้น กล่าวคือ มิได้หมายถึงเดินเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าจะกิริยาใดก็ชอบหมด ไม่ได้กำหนดอยู่ที่ว่าต้องเดิน เป็นต้น 

วันว่างๆ

ผู้เขียนตอนนี้อยู่ในช่วงที่มีเวลาว่างสุดๆ จึงมีเวลาทำอะไรหลายๆอย่าง
ที่ทำเป็นประจำคือ ดูละคอน(ละคร)จีน และมักจะเป็นละคอนจีนโบราณ (古装)สักส่วนใหญ่
เห็นชัดว่า ประเทศจีนที่ได้ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม ก็เอาอย่างเกาหลีที่ทำสื่อออกมาเพื่อเผยแพร่ "ของ" ของจีน หากจะดูดีๆแล้ว ทุกๆปีหนัง
จากสื่อโทรทัศน์ออนไลน์ของจีนด้านบนแสดงให้เห็นว่า หนังจีนที่มีเนื้อหาในยุคโบราณมีจำนวนมาก หรือถ้าหากจะดูในแต่ละปีลงไป ก็มีจำนวนนับสิบ..

แล้วเพราะเหตุใดเล่า ประเทศไทยจึงไม่มีหนังที่ส่งเสริมวัฒนธรรมบ้าง

อย่างในละคอนจีนนั้น มีอยู่จำนวนไม่น้อย ที่มีเนื้อหาประวัติศาสตร์ บุคคลสำคัญ วัฒนธรรมโดยตรง และก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยเช่นกันที่มีเนื้อหารักใคร่ปกติ แต่สอดแทรกตัววัฒนธรรมลงไป